"Will to be loved" แด่การเชื่อมั่นในความรักเมื่อยังมีลมหายใจ
ทิชาเป็นคนช่างฝัน เธอฝันเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะฝันได้ การไปโร้ดทริปที่จังหวัดน่านด้วยตัวเองสักครั้งเป็นหนึ่งในฝันที่กำลังจะเป็นจริง
ดาริณ เพื่อนสนิทของสาวช่างฝัน เข้าใจเพื่อนของเธอคนนี้ดีในทุกรายละเอียด และเป็นผู้สนับสนุนหลักในการเดินทางของทิชาครั้งนี้ เพราะดาริณขอร้องคุณน้าของเธอให้อนุญาตให้ทิชายืมรถโบราณคันสวยที่มีเครื่องเล่นเทปไปขับได้สำเร็จ ทิชาจึงหอบหิ้วเอาคอลเลคชันเทปเพลงวงโปรดมาจากบ้านเพื่อเป็นเพื่อนร่วมทางในครั้งนี้
เมื่อถึงสนามบินน่านนครตั้งแต่เช้าตรู่ของวันปิดเทอมฤดูร้อน ทิชาก็ออกเดินทางไปรับ “คุณน้าสำอาง” รถคันสวยที่ทิชาหมายตาไว้ตั้งแต่เห็นในรูปที่ดาริณเปิดให้ดูที่มหาวิทยาลัย และวันเดียวกันนั้นแหละที่ทิชาอนุญาตให้ตัวเองแอบตั้งชื่อรถคันโปรดนี้ ด้วยหวังว่าจะได้ไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยสีขาวนวลนั่นสักวัน
แล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อทิชาจัดแจงตามที่ดาริณสั่งทางโทรศัพท์เรียบร้อย เธอก็พบตัวเองนั่งอยู่หลังพวงมาลัยสีขาวนวลของน้าสำอาง ตัวรถสีดำเงา ทว่าเบาะภายในบุด้วยหนังสีงาช้าง ใจของทิชาเต้นไม่เป็นจังหวะ มองไปยังกระจกมองหลังก็เห็นว่าตัวเธอนั้นหน้าแดงก่ำแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน นี่แหละคือเวลาแห่งความสนุกสนานของเธอ ทิชาคิด
ล้อทั้งสี่ของน้าสำอางเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ ในแรกเริ่ม และค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร็วจนคงที่ตามกฎหมายกำหนดเมื่อเข้าสู่ถนนหมายเลขหนึ่งสองห้าหก นอกจากจะเป็นคนที่มีความฝันมากมายแล้ว ทิชายังเป็นคนขี้หลงขี้ลืมอีกด้วย กล่องเทปเพลงที่เธอตั้งใจเตรียมมาจากบ้านยังวางอยู่บนโต๊ะในโรงจอดน้าสำอาง เธอแทบจะกรีดร้องออกมาเมื่อรู้ตัวว่าความฝันเล็ก ๆ ของเธอล่มไปไม่เป็นท่าเสียแล้ว แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนไม่ยอมสิ้นหวังง่าย ๆ เธอตัดสินใจตบไฟจอดข้างทาง ถอนหายใจคลายความผิดหวัง แล้วลองค้นลิ้นชักฝั่งที่นั่งข้างคนขับดูอีกครั้ง พร้อมกับความหวังล้นหัวใจว่าจะเจอเพื่อนร่วมทางคนใหม่ ใจทิชาชื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพบเทปตลับหนึ่งในนั้น เทปตลับนี้ไม่ใช่เทปแห่งความหวังไร้ชื่อแซ่ เพราะด้านหน้ามีกระดาษแปะแนะนำตัวไว้ว่า “แด่การเชื่อมั่นในความรักเมื่อยังมีลมหายใจ”
“คุณว่าแท้จริงแล้วผู้คนโหยหาความรักกันไปทำไมคะ ฉันไม่เข้าใจความต้องการความรักเลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนต่างอยากครอบครองในเมื่อเห็นได้เกลื่อนกลาดว่าความรักถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำร้ายกันให้เจ็บช้ำได้ขนาดไหน
ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมคนที่ตั้งใจรักด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี ถึงกลายเป็นฝ่ายทุกข์ระทมเสมอ หรือมีอะไรที่ฉันเข้าใจความรักผิดไปหรือเปล่าคะ”
“ในความสัมพันธ์หนึ่ง หากคนรักต้องตายจาก ปริมาณความรักที่คนคนหนึ่งจะได้รับในช่วงสุดท้ายของชีวิตมันช่างมากล้นเหลือเกิน มากล้นเสียจนทำให้คนที่กำลังจะลาลับรู้สึกได้ว่าเขานั้นจะถูกรัก ถูกคิดถึงตลอดไป บทสนทนาที่เหลือมีเพียงเพื่อย้ำเตือนว่าต่างฝ่ายต่างมีความหมายต่อกันมากขนาดไหน ดำเนินไปเช่นนี้แม้กระทั่งกับความสัมพันธ์ที่ประกอบด้วยความเจ็บปวดเป็นส่วนใหญ่”
“ถ้าอย่างนั้น เราพูดได้ไหมคะว่า ความรักจะมีความหมายที่สุดเมื่อคนรักกำลังจะถูกพรากไปแบบไม่หวนกลับมา หาย สลาย ดับสูญ สัมผัสไม่ได้อีกต่อไป คงอยู่เพียงในรูปแบบความทรงจำ และกลับมาได้ในรูปแบบห้วงคิดถึง…เพียงเท่านั้น”
“แต่ถ้าให้ฉันเรียนคุณตามตรง ฉันว่ามันออกจะฟังดูน่าดีใจนะคะ ที่ถึงแม้กายหยาบเราสาบสูญ เราก็ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ เป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นกลิ่นอายและเสียงที่คุ้นเคยในความทรงจำของใครสักคนหนึ่งที่เรารักและเขาก็รักเรา และเมื่ออยู่ได้เพียงในความคิดถึง เราจะไม่ถูกเขาทำให้เจ็บช้ำอีกต่อไป”
“หรือแท้จริงแล้ว ผู้คนโหยหาความรักไว้เป็นหลักประกันว่า เมื่อได้ตายจากไปแล้ว เราจะยังคงครอบครองพื้นที่บนโลกใบนี้ในรูปแบบห้วงความคิดถึงของใครสักคน ในที่ซึ่งไร้ซึ่งความเจ็บปวดใด ๆ การได้รับรู้ว่ามีความรักแบบนั้นอยู่เพื่อเรา แม้เป็นเพียงในรูปแบบห้วงคิดถึง ก็ยังดีกว่าไม่เคยได้รับความรักเลย”
กึก
ทิชากดหยุดเทปก่อนจะตัดสินใจจอดรถเข้าข้างทาง เพื่อปล่อยให้หยาดน้ำตาที่เธอกลั้นมาตลอดการฟังพี่สาวเทปตลับ ได้ไหลรินตามที่มันควรจะเป็น เธอไม่สามารถปิดกั้นความรู้สึกปวดร้าวนี้ได้อีกต่อไป
เหมือนกันกับพี่สาวเทปตลับ ทิชาไม่เข้าใจความรัก ไม่ใช่เพราะเธอรักใครไม่เป็น แต่เป็นเพราะเธอเคยรัก รักมากเท่าที่ดวงใจของหญิงสาวคนหนึ่งจะสามารถรักได้ แต่ลงเอยด้วยใจที่สลายกลายเป็นเสี่ยง ๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมความรักถึงมีพลังมากมายขนาดนี้ ครั้งหนึ่งความรักทำให้เธอได้ใช้ความกล้าหาญปลดเปลื้องตัวตนและจิตวิญญาณของเธอแก่เขาคนนั้น ความรักทำให้เธอค้นพบตัวตนของเธอในฐานะนักรักที่แสนเชี่ยวชาญ ความรักทำให้เธอสุข แล้วความรักก็ทำให้เธอพบกับความรวดร้าว รวดร้าวขนาดที่ทำให้เธออยากลองหายไปตลอดกาลเพื่อจะพิสูจน์ปริมาณความรักที่คนรักมีให้เธอ
ทิชาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองยอมรับความแตกสลายนี้เลยสักครั้ง เธอคอยแต่จะหากิจกรรมต่าง ๆ ทำเพื่อกันตัวเองออกจากความทุกข์ระทม ซึ่งนั่นรวมถึงโร้ดทริปนี้ด้วยเช่นกัน เธอผัดความพร้อมที่จะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งความซื่อสัตย์เดินทางมาหาเธอเองในรูปแบบตลับเทปที่เธอพบโดยบังเอิญ บังเอิญเสียจนทิชาเชื่อว่าเป็นสัญญาณให้เธอเปิดประตูความรู้สึกออกมาเสียที ทิชาจึงกดเล่นเทปต่อพร้อมกับออกเดินทางอีกครั้ง
“ฉันว่าผู้คนไม่เคยเตรียมพร้อมมาเพื่อเจ็บปวดจากความรักหรอกค่ะ เมื่อพูดถึงความรัก ใครต่อใครคงมองเห็นภาพที่สวยงาม การได้รักใครสักคนและมีใครสักคนมารัก การที่ความไม่สมบูรณ์แบบในฐานะมนุษย์ของเราได้รับการเชยชมเปรียบเสมือนสิ่งสวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ การได้เติบโตโดยมีกันและกันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ผู้คนโหยหา ไม่ใช่คาดหวังให้ชีวิตรักต้องล่มสลาย ให้ถูกทำร้าย และแย่ยิ่งกว่าคือการเป็นฝ่ายทำร้ายคนที่ตัวเองรัก แต่ทำไมหลายครั้งที่คนเราโหยหาสิ่งสวยงาม กลับได้พบเจอกับความปวดร้าวแทนล่ะคะ ความไม่เข้าใจที่แท้จริงของฉันคงไม่ใช่ว่าทำไมผู้คนถึงโหยหาความรักหรอกค่ะ แต่เป็นความไม่เข้าใจว่าทำไม แม้แหลกสลายเพราะความรักมามากจนหมดแรงจะไปต่อ ฉันถึงยังโหยหาการได้รักและถูกรักจากใครสักคนอยู่อีก”
“คุณคะ ฉันแค่…อยากได้รักแบบไม่ต้องเจ็บปวดดูบ้างจังเลยค่ะ ฉัน... ไม่อยากจะต้องรอคอยช่วงเวลาสุดท้ายบนโลกใบนี้ก่อนตายจาก เพื่อให้ได้รับความรักที่แสนบริสุทธิ์สวยงาม ฉันเพียงต้องการได้เชื่อมั่นในรักอย่างสุดหัวใจ สุดหัวใจดวงหนึ่งของมนุษย์คนนี้จะสามารถทำได้ ในช่วงเวลาที่ฉันยังได้ลืมตา มีลมหายใจ และใช้ชีวิต ฉันยังคงอยากเชื่อมั่นในความรัก แม้ภายในฉันจะแตกสลายไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม…”
เทปยังคงหมุนต่อไปแม้เสียงของหญิงสาวเงียบหาย ทิชารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะพี่สาวเทปตลับกำลังร่ำไห้แด่ความปวดร้าวจากความรักเป็นเพื่อนเธอ ในรถคันโปรดบนถนนเส้นหนึ่งสองห้าหก และบนเส้นทางการออกตามหาความรักด้วยใจที่ร้าวราน พร้อมความหวังเต็มเปี่ยมใจว่าจะได้รักแบบที่สาวช่างฝันคนหนึ่งปรารถนา ตลอดมาและตลอดไป
เนื้อหา : อนันตญา กาฮ์นี
พิสูจน์อักษร : สุธินี จ่างพิพัฒนวกิจ และ ธนพงษ์ เมืองศิลปศาสตร์
ภาพ : สิรินภา ทวีพงศ์ภิญโญ