หวนคืน กลับกลาย เป็นอื่น : บันทึกการเดินทางกลับบ้าน
“มะขามไหมลูก จะได้สดชื่น” คุณแม่ยื่นของดีเมืองแพร่ จังหวัดเพื่อนบ้านของผมให้ หลังจากที่ผมปั้นหน้าบอกบุญไม่รับจากการต้องเดินทางบนรถยนต์กว่าสิบชั่วโมง ถ้าใครเมารถ ผมแนะนำให้พกถุงสำหรับอาเจียนมาอย่างน้อยสามใบ เพราะทางกลับบ้านของผมโดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่ติดกับจังหวัดแพร่นี้คดเคี้ยวเอาการ ผมบ่ายหน้าหนีมะขามของแม่และตัดสินใจข่มตาหลับแทน ห้วงนิทราทำให้ผมรู้สึกเหมือนถึงที่หมายเร็วขึ้น และเสียงเพลงไม้เมืองกับสุนทราภรณ์ของแม่ก็กล่อมให้ผมหลับได้ภายในไม่กี่อึดใจ
พอตื่นขึ้นมาอีกที อนธการมืดมิดได้กลืนกินทิวทัศน์โดยรอบไปจนสิ้น เหลือเพียงแต่แสงไฟหน้ารถที่ทำให้ยังพอเห็นถนนหนทางและป่าเขาโดยรอบอยู่ราง ๆ ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันเหลือบสายตาไปเห็นเส้นสีทองหน้าตาแปลกประหลาดบนภูเขาลูกหนึ่ง ชวนให้รู้สึกพิศวงอยู่ในที แต่ก็สวยงามบาดตาราวกับดิ้นทองบนผ้าซิ่นตีนจกฝีมือคนท้องถิ่นที่บ้านเกิดของผม แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ ดิ้นทองเส้นงามผุดผาดนั้นกลับกะพริบและคดเคี้ยวเคลื่อนที่ไปตามแนวป่า ผมเพ่งมองด้วยความฉงนสนเท่ห์อยู่นาน แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม “ไฟป่าน่ะลูก” พ่อพูดขึ้นมาลอย ๆ เหมือนรู้ใจผม
อา…ใช่ คงจะเป็นแบบนั้น ชาวบ้านตาสีตาสาที่หวังจะลืมตาอ้าปากต้องยอมลักลอบเผาป่าต้นกำเนิดแห่งชีวิตเพื่อนำที่ไปปลูกข้าวโพดส่งให้บริษัทใหญ่ ๆ ที่เอ่ยแค่อักษรย่อตัวแรกใครก็ต้องถึงบางอ้อ แล้วบริษัทที่ว่านี้ก็จะได้ส่งออกข้าวโพดไปต่างประเทศ ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ แล้วชาวบ้านพวกนั้นล่ะ? ไม่ได้เงินแค่พอประทังก็ถูกจับเข้าคุก “น่าเศร้านะ” ผมคิด เคยแต่ได้ยินเขาพูดกัน วันนี้ได้มาเห็นกับตา ทำเอาผมจุกจนพูดไม่ออก และเก็บงำความรู้สึกพิพักพิพ่วนและอิหลักอิเหลื่อนี้เอาไว้จนเกือบจะถึงบ้าน
บนถนนสายหลักที่พาผมกลับสู่ถิ่นที่พำนักครั้งยังเยาว์วัย ผมพบว่าอะไรหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว ตรงนี้ที่เคยเป็นห้องแถวว่าง ๆ ปัจจุบันกลายเป็นร้านกาแฟสามร้านเรียงติดกัน หน้าบ้านของคุณลุงที่รู้จักก็มีร้านปลาเผามาเปิด และมารู้ทีหลังว่าเป็นกิจการของคุณลุงเอง เพราะทนพิษเศรษฐกิจไม่ไหว รายได้จากการปลูกพืชผักสวนครัวขายที่ตลาดนั้นไม่พอประทัง พื้นที่ที่เคยเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มบัดนี้ก็ถูกถางกลายเป็นที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว ทำรายได้ให้คุณน้าเจ้าของที่วันละกว่าหลายพันบาท “เปลี่ยนไปเยอะเนอะ… บ้านเรา” คุณแม่มองผมผ่านกระจกหลังด้วยรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
ผมไม่แน่ใจว่าความเจริญวัดค่าด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวรายปี จำนวนโรงแรม จำนวนร้านกาแฟ หรือร้านอาหารที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดนี้ได้หรือไม่ เพราะถ้าได้ ป่านนี้บ้านเกิดของผมอาจเรียกได้ว่าทัดเทียมกับเมืองใหญ่ ๆ หลายแห่ง… อ้อ ผมลืมบอกไปอีกอย่าง ที่ครอบครัวตัดสินใจขับรถไปรับผมมาจากกรุงเทพฯ นั่นเพราะราคาตั๋วเครื่องบินที่แพงหูฉี่ ส่วนหนึ่งมาจากคนท้องถิ่นที่พากันกลับบ้านมาเจอครอบครัวในช่วงปีใหม่ อีกส่วนหนึ่งคือนักท่องเที่ยวที่วางแผนมาใช้เวลาช่วงวันหยุดปีใหม่ที่นี่ และก็เป็นนักท่องเที่ยวอีกนั่นแหละที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บรรดาร้านอาหาร ร้านกาแฟ และโรงแรมเพิ่มจำนวนขึ้นมากเป็นปรากฏการณ์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้เองก็ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยังความเจริญส่วนหนึ่งมาที่จังหวัดของผมได้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันก็ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองแปลกหน้าสำหรับผมไปเสียแล้ว
“ถึงแล้วลูก” แม่พูดขึ้นมา ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์และเงยหน้าขึ้นมา อา… อย่างน้อยสิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ ‘บ้าน’ ของผมเอง บ้านสีเขียวอื๋อกับหลังคาสีแดงเข้มยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แม้การได้เดินเล่นรอบ ๆ สถานที่แห่งความทรงจำที่คุ้นเคยกับการได้พบปะครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนานแรมปีจะทำให้ผมลืมเรื่องราวที่กำลังรบกวนจิตใจไปได้บ้าง แต่พอได้มีเวลานั่งจมจ่อมอยู่คนเดียวในห้องก็ทำให้ผมยังครุ่นคิดต่อไปไม่เลิก บ้านเกิดแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกินจนทำให้ผมทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วน แปลกแยก และ ‘เป็นอื่น’ อย่างเสียไม่ได้
ผมพยายามสลัดความคิดในแง่ลบนี้ออกไปด้วยการเลื่อนดูอะไรในโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย พลันไปเห็นโพสต์ โพสต์หนึ่งเข้าที่เพื่อนของผมแชร์มาในสื่อโซเชียล เป็นข้อความแสดงความคับแค้นใจของคนหนุ่มสาวยาวกว่าสองหน้ากระดาษ พูดถึง ‘นครแช่แข็ง’ ที่ไม่สามารถเติมเต็มความมุ่งหวังและปณิธานแรงกล้าของพวกเขาได้ พร้อมกับถ้อยคำก่นด่ากลุ่มผู้ใหญ่อนุรักษ์นิยมที่ทำให้จังหวัดบ้านเกิดของพวกเขาเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
ครั้งแรกที่ผมเห็น ผมรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก จะว่าเห็นด้วยก็ไม่ใช่ จะค้านหัวชนฝาก็ไม่เชิง แต่ อา… ผมเคยเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในกระแสต่อต้านนี้ครั้งยังเป็นเด็ก แก่กล้า หิวโหย และกระหายความเจริญทางวัตถุ สงสัยว่าทำไมบ้านเราถึงไม่มีห้าง ไม่มีตึกสูง ๆ อย่างมหานครใจกลางประเทศที่บัดนี้คงกลายเป็นนครรกร้างไร้ผู้คนเนื่องจากประชากรกว่ากึ่งหนึ่งของมหานครเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเอง สนามบินเล็กขนาดเท่าห้องแถวประมาณสองคูหา (แต่ยังเด็กนักจนไม่ทราบว่าหลายจังหวัดไม่มีแม้กระทั่งสนามบินหรือการเดินทางเข้าถึงที่สะดวกสบาย) จนบัดนี้ แม้หลายสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว สนามบินขยับขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวและมีห้างสรรพสินค้ามาตั้งอยู่หลายแห่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถเติมเต็มปณิธานของคนรุ่นใหม่ที่โหยหาการเติบโตในการใช้ชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่ต่ำกับเงินเดือนกระจิริด ตำแหน่งงานที่จำกัดและมีให้เลือกเพียงหยิบมือ สังคมผู้คนที่คับแคบ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่แร้นแค้น ข้อเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผลักไสให้คนจำนวนมากเดินทางสู่มหานครใจกลางประเทศที่ไม่เคยหลับใหล ผู้ใหญ่อนุรักษ์นิยมคงคิดว่าเด็กเหล่านี้หลงแสงเสียงจนกู่ไม่กลับ หากแต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่รั้งพวกเขาไว้ที่มหานครแห่งนั้นคือ หน้าที่การงาน ความสะดวกสบาย การเป็นที่ยอมรับ และเงินมากพอที่จะส่งให้ครอบครัว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จังหวัดนี้ถูกสาปให้กลายเป็นเมืองของนักท่องเที่ยวโดยสมบูรณ์ นั่นเพราะการพยายามพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ ที่ผมพูดไปก็เพื่อตอบรับกับการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวนี้เอง ไม่ได้ทำเพื่อคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง ทุกหยาดเหงื่อของคนท้องถิ่นและความประสงค์จะพัฒนาเมืองไปข้างหน้าก็อุทิศเพื่อให้นักท่องเที่ยวกรูกันเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้ ผู้คนคลาคล่ำในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว อากาศในช่วงฤดูหนาวดึงดูดผู้คนมายังดินแดนถิ่นเหนือแห่งนี้ เข้ามาและจากไป… เป็นวัฏจักรเช่นนี้ ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยว แต่รวมถึงคนท้องถิ่นเช่นเดียวกัน เหล่าผู้กล้าที่เข้าไปแสวงหาโชคลาภในมหานครแปลกหน้า และกลับมายังบ้านเกิดขนาดเท่ากระแบะมือของตนเองนี้เพียงเพื่อทักทายครอบครัวที่เขารักในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะจากลากัน… ครั้งแล้วครั้งเล่า กลายเป็นวัฒนธรรมช่วงปีใหม่ของเมืองนี้ไปโดยปริยาย
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเสน่ห์ของที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นความเงียบสงัดหลังเวลาสองทุ่ม อากาศเย็นสบายของฤดูหนาว ภูมิทัศน์และป่าเขาลำเนาไพร หรือวัดวาอารามที่สวยงามแบบล้านนา แต่ก็จริงอย่างที่เขาว่า เมืองนี้ไม่ใช่เมืองที่เหมาะกับการมาอยู่อาศัยนัก แต่กลับเป็นเมืองที่ถูกสร้างมาเพื่อการท่องเที่ยวและการมาเยือนเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ด้วยค่าครองชีพที่ต่ำและระบบขนส่งสาธารณะที่ย่ำแย่นี้เองยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าผู้คนที่คิดจะมาอยู่อาศัยจริง ๆ คงจะมีแต่ผู้ที่ไม่มีเรื่องห่วงกังวลอะไรและพร้อมจะมาใช้ชีวิต ‘สโลว์ไลฟ์’ ในช่วงบั้นปลายเท่านั้น
ผมใช้เวลาช่วงปีใหม่ที่บ้านครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวเอง เมืองแห่งนี้ การเปลี่ยนแปลง และความรู้สึกมากมายที่ประเดประดังเข้ามา จึงไม่ได้มีสมาธิสนใจเรื่องอื่น ๆ มากเท่าไรนัก แต่เพียงช่วงเวลาแม่คะนิ้งยังไม่ทันก่อตัว ความสุขเล็ก ๆ จากการได้เจอครอบครัวในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ของผมก็ต้องจบลง ผมเก็บกระเป๋า ทิ้งเสื้อผ้าไว้บางส่วน เผื่อมารอบหน้าจะได้ไม่ต้องแบกสัมภาระมาหนักเหมือนคราวนี้ คุณแม่ขับรถพาผมไปส่งที่สนามบิน โชคดีที่รอบนี้ผมไหวตัวทันเลยรีบจองตั๋วแต่เนิ่น ๆ ราคาเลยพอจะรับไหว การเดินทางโดยเครื่องบินทั้งปลอดภัยและสะดวกสบายกว่ามากเมื่อเทียบกับการต้องนั่งหลังขดหลังแข็งเสียเวลาชีวิตไปกว่าสิบชั่วโมงบนท้องถนน พอถึงสนามบิน ผมบอกลาและหอมแก้มคุณแม่เหมือนอย่างเคย แปลกใจนิดหน่อยที่ผิวหนังของแม่เหี่ยวย่นไปกว่าที่เคยสัมผัสมาก แต่นั่นแหละ… อนิจจัง วันหนึ่งสรรพสิ่งทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง… ใช่หรือเปล่า
เสียงอึกทึกของวิหคเหล็กลำจิ๋วดังขึ้นพร้อมทะยานขึ้นสู่เวหา ผมเหม่อมองออกนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอธิบายไม่ถูก ก่อนจะเหนื่อยล้าและผล็อยหลับไปบนเครื่องยนต์ขนาดมหึมาซึ่งกำลังนำผมกลับไปสู่ชีวิตในมหานครแปลกหน้าที่ทุกคนต่างแก่งแย่งแข่งขันกันเอาชีวิตรอดอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง เฮ้อ… แค่คิดก็เหนื่อยเสียแล้วสิ
.
เนื้อหา : เธียรธร เธียรสูตร
พิสูจน์อักษร : ธนพงษ์ เมืองศิลปศาสตร์ และ พิชชาภรณ์ วรบุตร
ภาพ : พัชรากร โชติศิลป์