วิถีแห่งปุถุชนใน ‘ดาราจักรรักลำนำใจ’ : ความเป็นสตรี ครอบครัว และความรัก
*มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากซีรีส์*
ดาราจักรรักลำนำใจ (Love Like the Galaxy) เป็นซีรีส์จีนแนวพีเรียด โรแมนติก ดราม่า ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเรื่องเดียวกัน นำเสนอวิถีชีวิตในสมัยราชวงศ์ฮั่นด้วยการดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักอย่าง ‘เฉิงเซ่าซาง’ บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเฉิง กับ ‘หลิงปู้อี๋’ แม่ทัพมากฝีมือผู้เป็นคนสนิทขององค์จักรพรรดิ
ด้วยฝีมือการกำกับ การเขียนบท และการแสดงที่ยอดเยี่ยม ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มียอดเข้าชมรวมสูงถึง 10,000 ล้านวิว และได้รับรางวัลซีรีส์แห่งปีจากรายการ Tencent Video Golden Goose Award 2022 ไปอย่างไร้ข้อกังขา นอกจากเส้นเรื่องความรัก การแก้แค้น สงคราม และวิถีชีวิตในสมัยราชวงศ์ฮั่น ซีรีส์เรื่องนี้ยังนำเสนอประเด็นสังคมทางและความเป็นมนุษย์อย่างทันสมัยและน่าสนใจ
ตัวตน ครอบครัว และความรัก คือเรื่องสามัญที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจเลี่ยง หลากหลายตัวละครเกี่ยวพันร้อยเรียงเป็นเรื่องราวอันซับซ้อนและมากด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เป็นดั่งวงจรดาราจักรอันกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด ชีวิตมนุษย์ก็คงไม่ต่างจากนั้นมากนัก มาร่วมตีแผ่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในดาราจักรรักลำนำใจ— ครอบครัว ความรัก การกดขี่ และการมอบฉันทะแก่สตรี—เพื่อเข้าใจวิถีแห่งปุถุชนมากขึ้น
การกดขี่และการมอบฉันทะแก่สตรี
เฉิงเซ่าซาง มีบิดาและมารดาเป็นแม่ทัพ ชีวิตวัยเด็กของนางถูกอาหญิงทิ้งไว้ที่บ้านในชนบทเนื่องจากบิดามารดาต้องไปรบนานหลายปี ความแร้นแค้นทำให้นางต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตนเองโดยปราศจากการอบรมอย่างที่ควร สมัยราชวงศ์ฮั่น กุลสตรีพึงประพฤติเรียบร้อย กตัญญู อยู่จวนท่องตำรา และเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี สิ่งที่บิดามารดาต่างคาดหวังจากลูกสาวคือการได้สามีเป็นนักปราชญ์หรือขุนนางเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล เมื่อเฉิงเซ่าซางกลับมาอยู่จวนในเมืองหลวง นางกลายเป็นสตรีที่ขัดกับค่านิยมอย่างมาก ทั้งความประพฤติ กิริยามารยาท รวมไปถึงความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ
เฉิงเซ่าซางใช้ชีวิตด้วยตัวเองแต่เด็ก นางจึงมีจุดยืนเป็นของตัวเองและหัวรั้นพอควร แต่นางก็มีไหวพริบและตัดสินใจเด็ดขาดเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขัน นอกจากนี้ นางยังสนใจงานวิศวกรรม ซึ่งแทบไม่มีสตรีใดในสมัยนั้นสนใจ เพราะถือว่าเป็นงานของบุรุษ ด้วยเหตุนี้ นางจึงถูกผู้คนมากมายกล่าวหาว่าเป็นสตรีที่ไม่เป็นกุลสตรีและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น นอกจากคนบางคนในครอบครัว ยังมีกลุ่มชนชั้นสูงในวังที่กลั่นแกล้งและใส่ร้ายนางอย่างหนัก ด้วยเห็นว่าไม่คู่ควรกับหลิงปู้อี๋
อย่างไรก็ตาม คุณค่าของผู้หญิงมีมากกว่าการคอยดูแลบ้านเรือน เป็นผู้หญิงที่ดีตามขนบ หรือเป็นตัวแทนของตระกูลไปแต่งงาน และคุณค่าในตัวผู้หญิงไม่ควรถูกลดทอนเพียงเพราะเป็นผู้หญิงที่ไม่เป็นไปตามค่านิยม สำหรับเฉิงเซ่าซาง ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเป็นช้างเท้าหลัง ไม่จำเป็นต้องคล้อยตาม และไม่จำเป็นต้องอยู่ ‘เพื่อใคร’ แต่เป็นการอยู่ ‘เพื่อตัวเอง’ ดังที่นางเคยกล่าวไว้ว่า
“มีหลิงปู้อี๋หรือไม่ ข้าก็เป็นสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี และข้าก็มีพ่อแม่พี่น้องต้องดูแล แต่ไม่ใช่เพราะข้าเป็นสตรี หากวันหนึ่งข้าอยากตาย นั่นก็เพราะข้ามีชีวิตอยู่จนเบื่อแล้ว ไม่ใช่เพราะอยากจะร่วมเป็นร่วมตายกับใครเป็นอันขาด หลิงปู้อี๋เป็นคนที่ข้าชอบมากที่สุดในโลกใบนี้ แต่ข้าก็ยังเป็นตัวข้า”
“ข้ายินดีปรนนิบัติหลิงปู้อี๋ร่วมกับเฉิงเซ่าซาง หากไม่ได้ หลานจะไปหาเชือกมาแขวนคอตัวเองต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท”
ข้างต้นคือคำพูดของ ‘ท่านหญิงอวี้ชาง’ คู่หมั้นคู่หมายของหลิงปู้อี๋ ยามที่นางรู้ว่าหลิงปู้อี๋ไม่ได้พึงใจในตัวนาง แต่กลับเป็นเฉิงเซ่าซาง สตรีที่ถูกครหามากมาย อย่างไรก็ดี ‘อ๋องหรู่หยาง’ ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ได้ปรามนางไว้ และโต้กลับด้วยคำสอนที่น่าสนใจ
“ยอมลดค่าตัวเองเพื่อขอออกเรือน เจ้าเคยคิดบ้างไหม หากไม่ถูกใจแล้วขู่ฆ่าตัวตาย ใครเขาจะให้เกียรติเจ้า เป็นสตรีไม่รู้จักเห็นค่าตัวเอง แล้วว่าที่สามีเขาต้องให้เกียรติเจ้าด้วยหรือ“
จากคำกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่า สตรีคนหนึ่งมีค่ามากพอที่จะไม่ลดทอนคุณค่าตัวเอง ไม่ให้เกียรติตัวเอง หรือเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเอาชนะ หากตนเองยังไม่ให้ค่าตัวเอง แล้วใครจะให้ค่ากัน
Domestic violence : บทเรียนของผู้เป็นแม่และแนวคิดสมัยใหม่เรื่องครอบครัว
การที่เฉิงเซ่าซางแตกต่างจากสตรีทั่วไป สร้างความหนักใจให้แก่ ‘เซียวหยวนอี’ มารดาของนางอย่างมาก นางถูกมารดาเปรียบเทียบกับพี่สาวต่างแม่อีกคนอยู่บ่อยครั้ง และบ่อยครั้งเช่นกันที่เฉิงเซ่าซางถูกมารดาลงโทษทั้งทางร่างกายและคำพูดยามกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร เฉิงเซ่าซางแทบไม่มีอิสระในการตัดสินใจใด ๆ ทั้งยังเคยแม้กระทั่งถูกมารดาลดทอนคุณค่าต่อหน้าคนรักและเชื้อพระวงศ์
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนเซียวหยวนอีจะไม่เข้าใจลูกสาวเลย นางคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการรักลูก แต่ด้วยความที่เซียวหยวนอีเป็นทหารหญิง ย่อมมีความเด็ดขาด เข้มงวดกว่าปกติ ประกอบกับไม่ได้อยู่กับเฉิงเซ่าซางตั้งแต่เล็ก จึงขาดทักษะในการเลี้ยงดูบุตรสาวไปโดยไม่รู้ตัว นางเพียงต้องการให้บุตรสาวอยู่ในลู่ในทางที่ควร และอยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แน่นอนว่า ในฐานะแม่ หลายคนก็คงอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ความผิดพลาดที่สุดของเซียวหยวนอี คือการขาดความเข้าใจในตัวเฉิงเซ่าซางและรักนางผิดวิธี
เมื่ออดทนกับมารดาเต็มทน เฉิงเซ่าซางจึงต้องหา ‘บ้าน’ หลังใหม่ให้ตัวเอง นั่นคือ ‘เซวียนฮองเฮา’ หนึ่งในไม่กี่คนที่ ‘ยอมรับ’ ในความแตกต่างของเฉิงเซ่าซางและเอ็นดูนางดั่งลูกแท้ ๆ ฮองเฮาไม่เคยมองว่าการที่เฉิงเซ่าซางมีความประพฤติและความสนใจต่างจากกุลสตรีคนอื่นทำให้นางไร้คุณค่า แต่กลับสนใจและให้ค่านาง เฉิงเซ่าซางจึงรักและเคารพฮองเฮาดั่งมารดาแท้ ๆ เช่นกัน ฮองเฮาจึงเป็นผู้มาเติมเต็มความรักจากแม่ที่ขาดหายไปของเฉิงเซ่าซางเสมอมา
กระทั่งครั้งหนึ่ง เฉิงเซ่าซางตัดสินใจว่าจะอยู่ที่วังหลังเพื่อดูแลปรนนิบัติฮองเฮาตลอดชีวิต เวลานั้นเองที่เซียวหยวนอีตระหนักถึงสิ่งที่เคยทำและกลัวว่าจะสูญเสียลูกสาวไปตลอดกาล นางจึงกล่าว ‘ขอโทษ’ ต่อเฉิงเซ่าซางเป็นครั้งแรก
ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังปรากฏให้เห็นได้ในสังคมยุคปัจจุบัน บางครั้งครอบครัวก็ไม่ใช่ ‘บ้าน’ เสมอไป คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ครอบครัวอาจไม่ได้มองว่าเรามีคุณค่าเท่ากับที่คนอื่นมองเรา
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ซีรีส์ยังสอดแทรกแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับครอบครัว โดยนำเสนอผ่านตัวละครไว้อีกหนึ่งตัวคือ ‘พระสนมเยว่เหิง’ ตัวแทนของผู้หญิงที่มีความคิดสมัยใหม่ท่ามกลางสังคมจีนยุคโบราณ
“เป็นพ่อแม่ ให้กำเนิด เลี้ยงดูพวกเขา ไม่ขอให้พวกเขาเอาใจใส่กตัญญู ขอเพียงพวกเขาอย่าได้ประพฤติเหลวไหล ไม่ทำพ่อแม่เสื่อมเสียหน้า ผู้เป็นพ่อแม่ขอเพียงเท่านี้ ถือว่าเกินไปหรือ“
ในสังคมเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะสังคมจีนโบราณ สิ่งหนึ่งที่ผู้เป็นลูกหลายคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กคือ ‘การกตัญญูต่อบุพการี’ เป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัติตามจึงจะถือว่าเป็น ‘ลูกที่ดี’ แต่พระสนมเยว่เหิงเห็นต่างออกไป การเป็นลูกที่ดีคืออะไร? จำเป็นต้องยึดติดกับคำว่า ‘กตัญญู’ อย่างเดียวหรือ? การกตัญญูไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่หากผู้เป็นพ่อแม่นำความกตัญญูมาอ้างเป็นเหตุผลของทุกสิ่ง หรือผูกมัดลูกด้วยความกตัญญูมากจนเกินไป เช่นนี้เรียกว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีหรือไม่? สุดแล้วแต่ผู้รับสารจะตัดสิน
ความรักอันไร้อุดมคติ
ความรักในอุดมคติของผู้อ่านเป็นอย่างไร? บางท่านอาจบอกว่า คือรักแรกพบ รักที่เป็นรักเดียวและรักสุดท้าย หรือบางท่านอาจบอกว่า คือรักที่ราบรื่น ไร้อุปสรรค มีความเป็นหนึ่งเดียว แต่ดาราจักรรักลำนำใจขบถต่อแนวคิดเหล่านั้นทั้งหมด
ความรักของเฉิงเซ่าซางใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตในการสมหวัง และรักแรกของนางก็ไม่ใช่หลิงปู้อี๋ หรือ ‘พระเอก’ เหมือนกับซีรีส์หรือนิยายหลาย ๆ เรื่อง ซีรีส์ตอกย้ำประเด็นนี้ด้วยการเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่เฉิงเซ่าซางพบกับ ‘โหลวเหยา’ บุตรชายคนรองตระกูลโหลว ผู้เป็นรักแรกของนาง ทั้งคู่พบกันในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต เรียนรู้กันและกัน มีความสุขร่วมกัน จนกระทั่งทั้งคู่หมั้นกัน และตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป แต่กลับมีความจำเป็นที่ทำให้โหลวเหยาต้องถอนหมั้นกับเฉิงเซ่าซางกะทันหัน อีกเพียงเสี้ยวหนึ่ง ความรักของทั้งคู่จะดำเนินมาถึงปลายทางอันสวยงาม แต่ชีวิตหาได้มีความแน่นอนเสมอไป ท้ายที่สุด เฉิงเซ่าซางก็คลาดกับความรักที่เกือบจะสมหวังไปอย่างน่าเสียดาย
เส้นทางความรักของเฉิงเซ่าซางดำเนินต่อไปแทบจะทันที เพราะหลิงปู้อี๋ยังคงรอคอยความรักจากนาง ในระยะแรก หลังจากที่เฉิงเซ่าซางยอมเปิดใจให้กับหลิงปู้อี๋ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ราวกับถนนที่ขนานกันไปอย่างไม่มีวันมาบรรจบ ทั้งอุปนิสัย การใช้ชีวิต และแนวคิดเรื่องความรักที่ต่างกันมาก ทำให้ต้องปรับตัวเข้าหากันอย่างหนัก
“ข้าฝึกฝนอยู่ในกองทัพมาตั้งแต่เด็ก เคยชินกับการสั่งการและปฏิบัติตามคำสั่งมากกว่า ข้าไม่ได้จะบังคับหรือบงการเจ้า ข้าเพียงยังไม่ชินกับการที่อะไรจะต้องปรึกษากับคนอื่น ข้าไม่เคยมีครอบครัวอย่างแท้จริง ข้าจึงอยากเรียนรู้ และข้ากำลังปรับปรุงตัว”
“แต่ท่านเอาแต่บงการชีวิตข้า ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาห่วงใยดูแลครอบครัวข้า เราสองคนไม่เคยเท่าเทียมกันแต่แรก ท่านขอฝ่าบาทให้พระราชทานสมรส แต่ไม่เคยหารือข้าเลย ความห่วงใยแบบนี้ของท่าน แทบจะทำให้ข้าหายใจไม่ออก”
หลิงปู้อี๋เป็นทหารที่เติบโตมากับการถูกสั่งและเป็นผู้สั่งมาตลอดทั้งชีวิต ส่วนเฉิงเซ่าซางเกลียดการโดนบังคับหรืออยู่ในการควบคุมมากที่สุด นางไม่ชอบหลิงปู้อี๋ด้วยซ้ำ ทั้งคู่จึงมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง ความสัมพันธ์นี้มีจุดบอดและอุปสรรคเกิดขึ้นมากมาย ทั้งจากปัจเจกบุคคลและสถานการณ์รอบข้าง มากจนทำให้เกือบไม่มีวาสนาต่อกัน แต่ทั้งสองก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจกันจากสิ่งเหล่านั้น จนประคับประคองกันไปถึงฝั่งในที่สุด
นี่ต่างหาก จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ‘เส้นทางของการเป็นผู้ร่วมชีวิต’ อย่างแท้จริง เป็นดั่งระลอกคลื่นที่ซัดเข้าหากัน ในคราแรกย่อมไม่ประสานจังหวะ ถาโถมใส่กันอย่างไม่เข้าที่เข้าทาง จึงต้องอาศัยเวลาเพื่อเรียนรู้จังหวะของกันและกัน จนกระทั่งสามารถหาจังหวะที่พอดี คลื่นถึงสงบ ราบเรียบเป็นผืนน้ำที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
ผู้อ่านบางท่านอาจตั้งคำถามกับการกระทำของตัวละคร ว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น ทำไมชีวิตของเขาหรือเธอถึงเป็นแบบนี้ คำตอบคงเป็นเพราะมวลมนุษย์ที่กำลังใช้ชีวิตบนโลก เปรียบเหมือนเหล่าดวงดาวนับล้านที่ประดับอยู่บนผืนดาราจักร แม้จะเป็นดวงดาวเหมือนกัน อยู่บนดาราจักรผืนเดียวกัน แต่ก็แตกต่างและหลากหลายด้วยปูมหลัง มีจุดยืนและวงโคจรที่ต่างกัน ทุกตัวละครมีชีวิต มีความคิด มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวละครใดที่ขาวสะอาดหรือดำสนิท และไม่มี ‘ชีวิต’ ของตัวละครใด ที่ราบรื่นดั่งใจหวังไปเสียทุกอย่าง
สิ่งเหล่านี้คือวิถีแห่งปุถุชนที่ดาราจักรรักลำนำใจต้องการนำเสนอ และสิ่งสุดท้ายที่ดาราจักรรักลํานําใจฝากไว้ให้ตกตะกอนคือ
“ชีวิตคนเราจะมี 5 ปี 10 ปีไปอีกกี่หนเชียว เจ้าได้พลาดหลาย ๆ สิ่งไปเพื่อคนอื่นแล้ว ข้าหวังว่าวันเวลาในอนาคต เจ้าจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองสักครา ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องใช้ชีวิต
ที่เหลืออย่างไร้ค่า” —เซวียนฮองเฮา
ชีวิตที่เรากำลังใช้ขณะนี้มีเพียงหนึ่ง โปรดอย่าลืมที่จะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง
อ้างอิง
Fei Zhen Xiang. (2565). ดาราจักรรักลำนำใจ [ซีรีส์]. สาธารณรัฐประชาชนจีน; Tencent.
.
เนื้อหา : เมษาชาริน
พิสูจน์อักษร : พศิน อาบสุวรรณ์ และ จิรัชญา
ภาพ : ติณณา อัศวเรืองชัย