เสียงสะอื้นในรื่นเริง : ท่ามกลางห่าฝนใน ‘วิมานหนาม’
.
*มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์
.
ก่อนหน้าปี 2567 กฎหมายสมรสเท่าเทียมยังเป็นเพียงความหวังสำหรับประเทศไทย วิวาห์ระหว่างคู่รักซึ่งไม่ใช่ ‘ชาย’ และ ‘หญิง’ ถูกสังคมและบ้านเมืองปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ทุกปีเสียงของชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศได้พยายามเรียกร้องสิทธิที่ตนเองพึงมี เพียงหวังว่าสักวันจะได้ยินเสียงโห่เอาฤกษ์เอาชัยในวิมานสถานของตนเองบ้าง
.
ในปีนี้เอง แม้แสงแห่งความหวังจะลุกโชน แต่เสียงร่ำไห้ที่ไม่เคยมีใครลืมของชุมชนนี้ก็ได้โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้งภายใต้ห่าฝนของฤดูมรสุมในเดือนสิงหาคม ผ่านบทเพลงและภาพยนตร์ตีแผ่ชีวิตของเกย์ที่ถูกกดทับ และได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากเกินกว่าจะจินตนาการเมื่อไม่อาจสมรสได้ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งยังแฝงประเด็นความเจ็บปวดของผู้หญิงและคนชายขอบไว้อย่างหนาวเหน็บและบ้าคลั่ง
.
ภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานหนาม’ ถ่ายทอดความโศกเศร้าและการสะอื้นไห้ปางตายของตัวละครออกมาได้อย่างละเมียดละไมล้อไปกับสายฝนและผลไม้ นับตั้งแต่การจากไปของ ‘เสก’ ผู้เป็นหัวใจสำคัญของสวนทุเรียน ‘แม่ฮ่องสอนหมอนทองคำเสก’ ตัวละครหลักอย่าง ‘ทองคำ’ ก็ได้เผชิญกับฝนห่าใหญ่ในฤดูเก็บเกี่ยวทุเรียนครั้งแรกของเขา
.
ฟ้าแจ้งเริ่มตั้งเค้าฝนในชีวิตของทองคำ เมื่อเขาไม่อาจยื้อชีวิตของผู้เป็นที่รักไว้ได้ ทั้งที่หนทางรอดอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับไม่มีสิทธิ์เซ็นยินยอมให้ผ่าตัด เนื่องจากในทางกฎหมายเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเสกเลย และความเป็นจริง เหตุการณ์เช่นนี้ก็ฉายซ้ำในชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ต่างจากภาพยนตร์ เช่น เรื่องราวของคุณดาว (เพิ่มทรัพย์ แซ่อึ๊ง) และ คุณเพชร (พวงเพชร เหงคำ) ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับ a day เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คุณเพชรประสบอุบัติเหตุและต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่คุณดาวผู้ร่วมชีวิตกันมากว่า 7 ปีกลับไม่มีสิทธิ์เซ็นยินยอม และเหตุการณ์ของคู่รักอีกหลายคู่ที่ความยาวอย่างจำกัดของบทความนี้คงไม่อาจบรรยายได้หมด
.
แม้ว่าก่อนหน้านี้ทองคำและเสกจะอยู่กินร่วมกันอย่างมีความสุขในบ้านหลังน้อยกลางสวน ชีวิตเริ่มอบอวลด้วยกลิ่นหอมดอกทุเรียน แต่ในวินาทีที่กระดาษซึ่งทองคำไม่มีสิทธิ์เขียนชื่อได้ร่วงลงจากมือของเขา ฝนก็เริ่มลงเม็ด ทองคำเริ่มตระหนักได้ว่า ‘กฎหมาย’ คือสิ่งที่ทำให้วิมานซึ่งเขาวาดไว้เป็นเพียงความฝัน บ้านและสวนทุเรียนที่ทองคำลงเงินลงแรงสร้างมาด้วยกันกับเสก และโฉนดที่ดินต่างทะเบียนสมรสที่เขากัดฟันไปไถ่ถอนออกมาให้ผู้ชายที่รัก ในเวลานี้กลับต้องตกไปเป็นของมารดาของเสกอย่าง ‘แม่แสง’ ผู้ไม่เคยมีส่วนร่วมในชีวิตของทั้งคู่อย่างหลีกเลี่ยงและปฏิเสธไม่ได้ แม้จะรวบรวมหลักฐานอัน ‘บางเบา’ ไปฟ้องร้องแล้วก็ตาม
.
มากไปกว่าการถูกลิดรอนสิทธิทางกฎหมาย และผลของการต่อสู้ที่ไม่เป็นธรรม คนชายขอบอย่างทองคำยังถูกสังคมจำกัดสิทธิ์ที่จะเสียใจต่อการจากไปของคนรักไว้อีกด้วย ในพิธีศพของเสก แหวนซึ่งเป็นสิ่งแทนใจของทั้งสองคนตกเป็นของแม่แสง ทั้งเตียง เสื้อผ้า ห้องนอน และบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำก็เช่นเดียวกัน สำหรับคนเป็นแม่ การสูญเสียลูกชายคนเดียวผู้เป็นเสาหลักให้พึ่งพิงไปนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ใจสลายไม่น้อย ทองคำเข้าใจสิ่งนี้ดี และยอมฝืนกลั้นน้ำตาของตนเองเอาไว้แทนที่จะปล่อยออกมา สิ่งรูปธรรมเดียวที่เหลืออยู่ให้เขาได้คิดถึงเสก ก็คือเลือดที่ชโลมอยู่บนกิ่งต้นทุเรียน สถานที่ที่คนรักของเขาจากไปตลอดกาล ดังนั้น การได้เห็นและได้ยินความคิดถึงของทองคำที่มีต่อเสกจึงยิ่งทำให้เสียงสะอื้นไห้ของเขาโหมดังไปทั่วโรงภาพยนตร์
.
ทว่าหากเงี่ยหูฟังเสียงสายฝนนี้อย่างตั้งใจ จะพบว่ามีเสียงร้องไห้อันเงียบเชียบคอยเป็นพื้นหลังให้กับเรื่องราวนี้อยู่เสมอ และนั่นคือเสียงของ ‘โหม๋’ หญิงสาวชาวไทใหญ่ผู้เป็นคนชายขอบไม่ต่างจากทองคำ เธอเติบโตขึ้นมาบนดอยอย่างยากจนและไร้การศึกษา มีหน้าที่คอยดูแลแม่แสง โหม๋คือตัวแทนของอีกหนึ่งเสียงร่ำไห้ที่ดังกระหึ่มในสังคมของเราเสมอมา เสียงของผู้หญิงที่ถูกกดทับ
.
ในการจากไปของเสก โหม๋ไม่ได้มีทีท่ายินดียินร้ายมากนัก เธอมักจะยืนอยู่ห่างออกไปและแสดงสีหน้านิ่งเฉย เหมือนกับว่านั่นคือที่ประจำของเธอ ในฉากที่ทองคำมางานศพของเสกที่บ้านบนดอย โหม๋ก็เป็นคนที่นั่งอยู่ไกลออกไปจากแม่และ ‘ลูกเขย’ เธอคอยมองดูทั้งสองคนกอดร่ำลาร่างไร้ชีวิตของคนรัก และโหม๋นี่เองที่เป็นผู้ถอดแหวนของเสกมาให้แม่แสง และเป็นผู้ออกความคิดให้แม่แสงไปพักเยียวยาจิตใจที่บ้านสวนทุเรียน ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างโหม๋กับทองคำจึงเริ่มขึ้นไม่นานหลังจากนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการแย่งชิงสวนทุเรียนมาเป็นของตนเอง และอีกฝ่ายหนึ่งต้องการแย่งชิงสวนทุเรียนซึ่งเป็นของตนเองกลับคืนมา
.
เพราะชีวิตของตนเองน่าสงสาร จึงสมควรได้รับทุกอย่าง คือคำกล่าวอ้างของโหม๋ซึ่งอาจไม่สมเหตุสมผล แต่กลับเป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นที่สุดสำหรับเธอ ฝนห่าใหญ่ได้ตกในใจของโหม๋มานานจนเธอเริ่มชินชากับเสียงของมัน เมื่อเธอไม่ได้รับการศึกษา เธอจึงไม่รู้วิธีที่จะลืมตาอ้าปาก หรือมีสิทธิ์มีเสียง หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของโหม๋คือการดูแลแม่แสง เพราะแม่แสงคือ ‘แม่’ ผู้ชุบเลี้ยงเธอมา และเป็น ‘แม่’ ของสามีของเธอ
.
โหม๋เคยคิดจะเดินฝ่าฝนนี้ออกไปด้วยตนเอง มุ่งหน้าสู่ฟ้าใหม่ในเมืองเทวดาด้วยความหวัง แต่กลับมีเสกถือร่มมาช่วยบังฝนไว้ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เธออยู่ภายใต้ร่มนั้นเพียงคนเดียว พร้อมกับผูกภาระอันหนักอึ้งไว้กับโหม๋ด้วยเครื่องพันธนาการที่มีชื่อว่าความรัก จึงไม่แปลกนักที่โหม๋จะต้องการทุกอย่างเพื่อตอบแทนชีวิตที่เธอได้สูญเสียไป และมักแสดงท่าทีไม่พอใจเสมอเมื่อแม่แสงใจอ่อนกับทองคำ แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกของเธอ ใครเล่าจะรู้ว่า ในใจของโหม๋นั้นกำลังร่ำไห้ไม่ต่างจากทองคำ เพราะเธอเป็นถึง ‘สะใภ้’ คนแรกของแม่แสง แต่กลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนรับใช้ และไม่มีใครสนใจเธอในฐานะภรรยาของเสกเลย
.
อย่างไรก็ตาม ฝนคลั่งในครั้งนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลย
.
เมื่อทองคำพยายามทวงคืนสวนทุเรียนด้วยสารพัดวิธีพิสูจน์ตัวเองจนแม่แสงเห็นใจ หากในตอนที่ทองคำมีหวัง โหม๋กลับบีบบังคับให้แม่แสงเซ็นยกบ้านและที่ดินให้เธอ และตัดสินใจเมินเฉยต่ออุบัติเหตุ ปล่อยให้แม่แสงเสียชีวิต จนทำให้ทองคำใจสลายอีกครั้ง กระนั้น การมีหนุ่มชาวไทใหญ่สุดซื่อผู้เป็นน้องชายของโหม๋อย่าง ‘จิ่งนะ’ มาร่วมก้าวเดินตามจังหวะชีวิตครั้งนี้ไปด้วยกันก็ยังพอช่วยให้ทองคำคลายหนาวลงได้บ้าง แต่แล้วมรสุมนี้ก็พรากชายที่เขารักจากไปอีกครั้งอย่างไร้ความปรานี
.
และเมื่อโหม๋พยายามเรียกร้องสิ่งตอบแทนที่ตนเองควรจะได้รับ เธอกลับเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เมื่อไม่สามารถทำให้สำเร็จด้วยตัวคนเดียวได้ โหม๋จึงจำเป็นต้องหยิบยืมมือของผู้ชายที่มีอำนาจมาช่วยเหลือเธอ และในการหยิบยืมนี้ก็มีสิ่งแลกเปลี่ยนคือชีวิตของเธอเองในฐานะภรรยา เธอกัดฟันยินยอมที่จะหนีจากห่าฝนอันขมขื่นนี้ไปพึ่งฟ้าครึ้มแทน แม้ว่าผู้ชมภาพยนตร์อาจเกิดความรู้สึกไม่พอใจและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเธอ แต่สำหรับโหม๋แล้ว นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่เธอพอจะค้นพบได้ในฐานะผู้หญิงชายขอบภายใต้การกดทับ
.
แต่นอกเหนือจากความทุกข์ตรมขมกระหน่ำแล้ว ความรื่นเริงยังเป็นสิ่งที่ขนาบคู่กันมาเสมอภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในขณะที่ทองคำกำลังเสียใจกับการจากไปของเสก โหม๋และแม่แสงกลับรื่นเริงดีใจที่จะได้สมบัติเป็นที่ดินใหญ่โตพร้อมสวนทุเรียนของเสกมาครอบครอง ในขณะที่โหม๋กำลังสะอื้นไห้และพยายามจะทวงคืนสิทธิ์ของตนเองจากแม่แสง อีกฟาก ทองคำและจิ่งนะก็กำลังรื่นเริงอยู่กับความสำเร็จในการขายทุเรียนและความรักครั้งใหม่ที่กำลังผลิบาน และในขณะที่โหม๋กำลังเข้าพิธีวิวาห์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งคู่กลับต้องจัดงานวิวาห์ที่มีพิธีรีตองเหมือนคู่บ่าวสาวอย่างเงียบเชียบใต้วิมานต้นทุเรียน ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่มีทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายเพียงเท่านั้นเอง รสชาติจากภาพความแตกต่างนี้จึงยิ่งตอกย้ำถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคมที่เกิดขึ้นกับชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศได้อย่างชัดเจน
.
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กำลังนำเสนอภาพความแตกต่างรูปแบบเดียวกันนี้ในชีวิตจริงของเราด้วย แม้ว่าในวันนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเกิดขึ้นแล้วในประเทศของเรา แต่ปัญหาอันซับซ้อนและเสียงสะอื้นของคนชายขอบที่เล่าผ่านม้วนหนังก็ยังไม่ได้ซาลง มีผู้คนมากมายที่กำลังร่ำไห้ปานสายฝนไม่ต่างจากทองคำ โหม๋ จิ่งนะ และแม่แสง หากแต่ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นมหรสพบนหน้าจอเช่นภาพยนตร์เรื่องนี้ และนี่ต่างหากคือเสียงสะอื้นในรื่นเริงที่แท้จริง
อ้างอิง
ฉัตรชนก ชัยวงค์, “เราเสียใจที่กฎหมายใช้ไม่ได้กับทุกคน” : คู่รัก LGBTQ+ ที่ต่อสู้เพื่อสมรสเท่าเทียม [ออนไลน์], 28 กันยายน 2564. แหล่งที่มา https://adaymagazine.com/people-power-lgbtq/
นฤเบศ กูโน. (ผู้กำกับ). (2567). วิมานหนาม [ภาพยนตร์]. จอกว้าง ฟิล์ม; ใจ สตูดิโอ.
เนื้อหา : ภราดร สุขพันธ์
พิสูจน์อักษร : กาย และ แนท
ภาพ : พลอยนภัทร พุทธรักษา