Vanitas, vanitas
.
อย่าตรงไปข้างหน้า เลี้ยวซ้าย วิ่ง วิ่ง ไวกว่านี้ ต้องวิ่งแล้ว หยุด เลี้ยวขวาด้านหน้า วิ่ง วิ่งเร็ว…
มันดำรงอยู่มาสักพักแล้ว ไม่ มันเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานเกินย้อนตรึกตรอง นัยน์ตากลอกกลิ้งซ้ายขวาฉับไว รยางค์เกะกะเคลื่อนขยับสลับกันยามเร่งรุดฝ่าพงหญ้าเขียวอันไพศาล ยอดแหลมของแมกไม้กรีดผ่านพวงแก้มซูบเซียวเปราะบาง และทิ้งร่องรอยของโทสะไว้ในร่องลึกสีแดงฉานประปราย เศษผ้าซอมซ่ออันเป็นอาภรณ์ชื้นแฉะแนบไปตามเนื้อกายด้วยหยาดเหงื่อที่ชุ่มโชก บาเบลตระหนักในบัดดลว่า สันดาปที่แผ่พล่านอยู่กลางทรวงอกนี้แตกกิ่งก้านสาขาออกมาจากบางสิ่งที่ยุ่งเหยิงอยู่ใต้โครงกะโหลกของเขา บางสิ่งที่ยังมิอาจประมวลออกมาเป็นคำตอบที่ใคร่หาอยู่ได้ ละม้ายทิวทัศน์พราวพร้อยหลังม่านคลุมเครือ ในยามเดียวกันนั้น อาการขาดน้ำก็เริ่มทำให้ริมฝีปากแห้งแตกเสียจนโลหิตไหลซึม อากาศที่สูดเข้าไปเสียดแทงผ่านกายทวารไม่ต่างจากปลายมีด บาเบลหอบ กอบโกยลมหายใจและสัมปชัญญะที่กำลังโรยราของตนเอาไว้โดยกำมือที่สั่นตระอาล แล้วเขาก็วิ่ง และวิ่งไวกว่าเดิม จากนั้นเลี้ยวซ้าย หยุด เลี้ยวขวาด้านหน้า และวิ่ง…
หยุดรอ ออกวิ่งต่อ อย่าหันซ้าย วิ่งตรงไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
อาจเป็นเพราะอุณหภูมิระอุที่ไต่สูงขึ้นทุกการกระทบของฝีเท้า ขอบตาบาเบลร้อนผ่าว ความรู้สึกราวกำลังถูกสัมผัสด้วยเส้นด้ายที่เพิ่งผ่านการแผดเผาลากไล้อยู่ตามกรอบตาทำให้เขาอยากแผดร้องออกมาให้กังวานในความเงียบงันซึ่งปกคลุมทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ใต้ท้องนภานี้ ทว่าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาต้องวิ่ง ต้องหนี และเสียงกู่ร้องของบาเบลจะทำให้พวกเขาได้ยิน พวกเขาจะรู้ว่าบาเบลอยู่ตรงนี้ จะถูกหาเจอ เขาถูกหาเจอไม่ได้–อกที่กระเพื่อมถี่ของเขากำลังสลัดพละกำลังออกไปทีละนิด เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เสียเหลือเกินที่ความร้อนรุ่มในจิตใจกลับสวนทางกับความระโหยของร่างกายโดยสิ้นเชิง ความชาลามเลียกล้ามเนื้อขึ้นมาเชื่องช้า เศษเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณบาเบลยกธงขาวโบกสะบัดนานแล้ว เขาตายไปนานแล้ว แต่แล้วแว่วสุรเสียงกระซิบของกระแสลมก็พัดผ่านมาอีกครา ครั้งนี้หนักแน่นกว่าครั้งอื่น
วิ่งสิ วิ่ง วิ่งต่อไป ไปด้านขวา ขวา ด้านขวา วิ่ง
พงหญ้าเขียวชอุ่มโอนอ่อนต่อแรงพายุอย่างละเมียดละไมประหนึ่งกำลังเริงระบำ ชั่วยามหนึ่งเมื่อความเยือกเย็นคล้อยผ่าน พวกมันพากันร่ำร้องเป็นทำนองเหือดแห้งของปลายหญ้าที่เอี้ยวเกี่ยวกันไปมา ผิวหนังของเขาตะครั่นตะครอ เมฆหมอกมืดมัวเคลื่อนตัวอยู่เหนือหัวส่งเสียงคำรนเป็นระยะ แสงพิสุทธิ์วับวามของสายฟ้าสนทนากันในความสงบนิ่ง บาเบลหยุดนิ่ง ระหว่างที่บางสิ่งกำลังไหลเวียนอยู่รอบ ๆ บางสิ่งที่เขาไม่อาจเห็นด้วยตา แตะต้องไม่ได้ด้วยมือ หากแต่การดำรงอยู่ของสิ่งนั้นก็ประจักษ์อยู่ในห้วงการตื่นตัวเกินกว่าจะวางเฉย–โอ มันเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงเสียเหลือเกิน สิ่งที่แทรกซึมอยู่ในคลื่นลมพายุนี้ สิ่งที่กระซิบกระซาบสั่งการร่างกายซึ่งไร้การควบคุมนี้ สิ่งที่ออกคำสั่งให้ วิ่ง วิ่ง วิ่ง มันพร่ำเรียกบาเบล กำหนดทิศทางของเขา ลวงล่อให้เขาละเมอเพ้อพกเอาเองว่าบางอย่างกำลังไล่ตาม และเบื้องหน้ามีเสรีภาพที่หลงกระหายเฝ้าคอยอยู่ที่ประตู โอ แต่แล้วอะไรกันเล่าที่เขากำลังหลีกหนี สิ่งใดกันเล่าที่กำลังไล่ตาม แล้วเสรีภาพอันเป็นดังแสงสว่างซึ่งถูกขับขานโดยพจีเหล่านี้ล่ะ แท้จริงแล้วหน้าตาเป็นเช่นไรเล่า โอ เรือนร่างบาเบลกระเสือกกระสนกระทั่งบิดเร่า ท่อนขาเหยียดย่างออกด้วยตัวมันเอง เขากำลังหนีอีกแล้ว ทว่าครั้งนี้หนีจากสิ่งใดบาเบลก็ไม่อาจล่วงรู้ มันไร้หน้าตา รูปร่างกลวงโบ๋ มันอยู่ทุกที่ เร้นซ่อนอยู่ในเสียงหวีดของลม อยู่ในหมู่เมฆา อยู่ในพงหญ้า และในเม็ดดิน–สุรเสียงแห่งอำนาจยังคงประเดประดังเข้ามา ในขณะที่ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ คับแคบลงอย่างกับมีมือปริศนาโอบเอื้อมมาจากด้านหลังเพื่อบดบังการมองเห็น บาเบลรู้สึกคล้ายแขนขาของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เริ่มที่แขนซ้าย แขนขวา ขาซ้าย และขาขวา กระทั่งน้ำหนักที่เหลือจวนสิ้นท่าโค่นลง เขาจึงได้สติว่า เขาได้สะดุดบางอย่างเข้าให้แล้ว
“...”
ครั้นพิรุณหยาดแรกกระทบขอนไม้ ฝนห่าใหญ่ก็ร่วงโรยตามลงมาหมายจะชำระล้างทุกมลทิน–ความวุ่นวายที่ลักลั่นอยู่ก่อนหน้าแรมราเมื่อทุกอย่างร่วงสู่ความสงบ แว่วเสียงกระซิบของบัญชาหลอมละลายหายไปพร้อมสายฝน เขายันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เนื้อตัวถูกห่อหุ้มอยู่ใต้คราบดินสีดำ ทว่าปลายนิ้วยังคงระริกสั่น กลีบปากแหวกอ้าเชิดรับหยดน้ำลงคอตามสัญชาตญาณของร่างกายที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ใต้เปลือกตานั้น ความขลาดเขลาอันมืดมิดคืบคลานเข้ามาอย่างแผ่วผ่าว หล่อนปิดดวงตาเขา กระหวัดกอดร่างกายที่สั่นเทานี้จากด้านหลัง ผัสสะของหล่อนประโลมปลอบเขาอย่างชดช้อย แล้วหล่อนก็ขยับเข้าใกล้ ไออุ่นแผ่วเบาวูบไหวอยู่ไม่ห่างใบหู เสี้ยววินาทีนั้นเอง บาเบลเพิ่งรู้ตัวว่า เขาได้ถูกช่วงชิงทุกอย่างที่เป็นของตนไปนานแล้ว แม้กระทั่งความคิดที่ควรเป็นของเขาเอง
อย่าขัดขืนสิ จงวิ่ง วิ่งต่อไป จงอย่าหยุดวิ่ง อย่าขัดขืน วิ่งสิ วิ่งสิ วิ่งสิ
“เงียบ! เงียบ! เงียบ! เงียบสิวะ!” นี่อาจเป็นจุดสิ้นสุดแล้วก็ได้ มันหลุดออกมาแล้ว ส่งเสียงร่ำไห้โอดครวญเหมือนเหล่าดวงวิญญาณที่หวนคืนจากอาสัญ พวกเขาต้องได้ยินแล้วเป็นแน่ ต้องเห็นการขัดขืนของบาเบลแล้วเป็นแน่ “อา อา” ใบหน้าเบี้ยวเบ้ด้วยความทุกข์ตรม เขาสำรอกของเหลวในกายออกมา กระอักไอจนตัวคดงอ มือทั้งสองข้างสั่นเทิ้มพยายามจะปิดหู กระนั้นก็ตาม สิ่งที่แผ้วพานเขาอยู่นี้ ไม่ได้กำเนิดขึ้นจากสรรพสิ่งใดเลยที่อยู่ภายนอก มันดำรงอยู่เช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว อยู่ในนี้ ใต้โครงกะโหลก เป็นคำสาปกัมปนาทที่เพรียกแต่นาม บาเบล บาเบล บาเบล เรื่อยไป บางคราก็ฉีกกระชากออกมาจากผิวหนังเป็นบาดแผลที่ผลิขึ้นประดับรอยหย่อมพร้อย บาเบลสิ้นแรง กระทั่งหยาดพิรุณที่โปรยปรายลงมากระทบแผ่นหลังก็ยังรู้สึกราวกำลังถูกทิ่มแทงโดยตะปู ในมหุรดีนั้น เขาจึงทำอันใดไม่ได้เสียนอกจากโค้งยอมให้เสียงในหัวอีกครา
ครั้นเมื่อสายัณห์มาเยือน เมฆหมอกทึบทึมก็บอกลาไปไกลโขแล้ว เรือนร่างผอมแห้งของเขากองอยู่ที่เดิม แววตาไร้ชีวา ทุกประกายสุกสกาวมิคงเหลือ ลมอุ่นที่เล็ดรอดผ่านกลีบปากช้ำรวยริน บาเบลไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ลุกขึ้นยืนนับกี่ร้อยครั้งแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำได้ ทำได้เพียงชะเง้อเหม่อลอยออกไปตามแนวหญ้า เบื้องหน้านั่น ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี ต่อให้ไกลออกไปสักกี่พันหลาก็ไม่พบพานสิ่งใดเข้าให้เลย ไม่มีเลย มีเพียงท้องสมุทรสีเขียวอันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตา–ไม่สิ ตรงนั้น บางอย่างหยัดยืนอยู่เป็นจุดสีดำหนึ่งเดียวกลางแมกไม้ รากหยั่งลึกคงนิ่งไม่คล้อยอ่อนให้แรงลม พลางพึมพำบางอย่างพิกลอยู่กลางความว่างเปล่า บาเบลกลั้นใจ พยุงกายซวนเซเหนือท่อนขาอ่อนล้า และออกมุ่งไปยังจุดหมาย หวังให้มันเป็นหนแห่งสุดท้ายที่เขาไม่จำเป็นต้องหลบหนีไปที่ใดอีก
ปลายแสงอร่ามของอาทิตย์ฉาบท้องทุ่งให้เป็นสีทองพิจิตร ใบหญ้าเสียดผ่านลำตัวเงียบเชียบ ยิ่งสาวเท้าเข้าใกล้ รูปร่างของมันก็ยิ่งชัดเจน เสียงในหัวก็เช่นกัน พวกเขาลนลานบอกให้บาเบลหันหลังแล้ววิ่งจากไปเสีย ให้หันเหียนเปลี่ยนทิศทาง ทว่ามีแต่จะทำให้อยากเข้าประชิด จุดสีดำที่เพ่งพิศจากที่ไกลมิใช่อะไรอื่นนอกจากไม้ยืนต้นโอฬารต้นหนึ่ง ขนาดลำต้นของมันเขื่องโต กิ่งก้านอวบหนางอกเงยออกไปแทบทุกสารทิศ และแตกแขนงออกไปอีกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยโดยมีพุ่มไม้ดกตบแต่งอยู่บนแต่ละก้าน บาเบลเมื่อได้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก็ตัดสินใจต่อไม่ได้ว่าควรทำสิ่งใด เขามัวเมาอยู่ในคำกระซิบกระซาบ จมจ่อมอยู่ในภวังค์ สมองด้านชากับสิ่งรอบข้างไปแล้วกระมัง
อาจเพราะเสียงพึมพำในหัวมีแต่จะทวีความดังขึ้นก็เป็นได้ บาเบลยื่นปลายนิ้วออกไปสัมผัสผิวไม้ของพืชตรงหน้า ลากผ่าน และในวินาทีที่กำลังจะผละออกปลายเล็บของเขาก็บังเอิญสะกิดเปลือกไม้เข้า–อ่า มันหลุดลอก มันเปราะบาง เมื่อเปลือกไม้ที่ถูกสะกิดแผ่นนั้นตกไปนอนอยู่ที่โคนต้นตามแรงโน้มถ่วง นัยน์ตาเขาก็เบิกโพลงอย่างลุกลี้ลุกลน หัวใจกลับมาสูบฉีดเลือดด้วยแรงมหาศาลเสมือนว่าอาการไร้เรี่ยวแรงก่อนหน้าเป็นเพียงภาพฝัน บาเบลหายใจติดขัดด้วยความตื่นเต้น แค่นหัวเราะออกมาเป็นเสียงผิดเพี้ยนแสนประหลาดพลางใช้เล็บขูดเอาเปลือกไม้ออกทีละชั้นอย่างไร้สติ–อ่า จะทำอย่างไรดีนะ นี่มันอะไรกัน หากเขาไม่ได้สิ้นชีพไปแล้วโดยไม่ตระหนักรู้ นี่คงเป็นปรากฏการณ์ที่พิลึกพิลั่นที่สุดในชีวิต
“อา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
เมื่อเลาะเปลือกไม้ออก ไม้ยืนต้นนี้ก็เผยให้เห็นเนื้อสีแดงฉาน ภายในของมันที่ชุ่มฉ่ำไม่ต่างจากฟองน้ำเปียก หยดเหลวเหนียวเหนอะสีแดงค่อย ๆ ทะลักออกมา ไหลย้อยลงมาถึงโคน บาเบลชะงักงันเมื่อเสียงในกะโหลกแปรเปลี่ยนจากการพึมพำออกคำสั่งเป็นเสียงคร่ำครวญหวีดแหลมปวดหู ราวกับว่าเขาไม่ควรเข้าใกล้ไปมากกว่านี้–ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อมันเจ็บปวด บาเบลกลับสาแก่ใจ มันหยุดสั่งเขาแล้ว มันกรีดร้องด้วยความทรมานในแบบที่เขาเป็นมาตลอดชีวิต เวลาหมุนเวียนต่ออีก เขาทิ้งน้ำหนักมือลงข้างตัวพร้อมเล็บมือที่ปอกถลอกไม่เหลือสภาพ ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว บาเบลดึงตัวขึ้นไปบนก้านหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะไม่มากนัก รั้งน้ำหนักกายขึ้นไปบนนั้น และไต่ขึ้นไป ไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ลมพายุวนเวียนกลับมาอีกครา รุนแรงกว่าเก่าราวกับประสงค์จะสลัดเขาให้ร่วง ท้องนภาคำรนทุ้มต่ำ แต่บาเบลไม่ได้อยู่ในจุดที่การหันหลังกลับเป็นหนึ่งในทางเลือก เขาจึงไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ สูงจากพื้นดินขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งถึงความสูงที่หากเขาร่วงหล่นลงไปคงจะสิ้นใจก็ยังไม่หยุด ณ จุดสูงสุดของยอดนั้น บาเบลคิดว่าเขาต้องค้นพบความจริงเป็นแน่ ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่กำลังหลีกหนีตลอดมานั้นคือสิ่งใด และเมื่อพ้นผ่านการถูกไล่ตามนี้ อิสรภาพแบบไหนกันที่กำลังเฝ้ารอเขาอยู่ด้านนอก
“...”
ผืนฟ้าครึ้มเทาปรากฏอยู่เหนือศีรษะผ่านช่องว่างระหว่างใบ ก้านไม้สุดท้ายถูกปัดออก บาเบลพาตัวเองมาถึงยอดต้นไม้แล้ว คลื่นลมเย็นสบายพลิ้วผ่านกรอบหน้าอย่างอ่อนโยน ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นขอบเขตของความว่างเปล่านี้เสียที จะได้เห็นว่าสุรเสียงที่เอาแต่บงการเขาเสมอมานี้คือสิ่งใด อยู่ที่ใด เมื่อนั้นเองก็คงจะได้หลุดพ้นจากมัน จากเส้นทางและขอบเขตที่เขาถูกจับใส่ จากทุกบ่วง
อยากเห็นใช่ไหม ดูเข้าสิ ดูเข้า งดงามใช่ไหม ดูเสียสิ ดูให้เต็มตา
แสงสุดท้ายสาดกระทบแนวหญ้า เปิดทางให้บาเบลเห็นความกระจ่างทุกอย่างหลังผืนม่านพร่ามัว ก้อนสะอึกตีตื้นขึ้นมาฉับพลัน ปลายเล็บจิกอยู่ที่บนท่อนขา–อย่างนี้นี่เอง ต่อให้วิ่งสักเพียงใดก็จะไม่พบเจออะไรเข้าหรอก ไม่แม้กระทั่งสิ่งกีดขวางหรือมนุษย์ด้วยกันเอง พวกเขามีพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกสร้างขึ้นมา ตัดขาดจากทุกสรรพสิ่ง จากทุกการมองเห็น–ด้านบนนี้ บาเบลเห็นทุ่งหญ้าสูงที่เคยบดบังเขามิดจนถึงศีรษะ บางอย่างกำลังขยับเขยื้อนแหวกว่ายอยู่เป็นเงากระดำกระด่างตามท้องทุ่งเขียวงดงาม หากพิจารณาดูให้ดีอีกเพียงเล็กน้อย ก็จะพบว่าสิ่งเหล่านั้นคือผู้คนที่เหมือนบาเบลนั่นเอง พวกเขาต่างก็วิ่ง ใบหญ้าเสียดสีร่างกายส่งเสียงแผ่วเบาอยู่ใต้กระแสลม และต่อให้วิ่งเร็วเพียงใด หันเหียนเท่าใด คนพวกนั้นก็จะไม่มีวันได้พบพาน เพราะเสียงในหัวของพวกเรานี้สั่งการให้อยู่แต่ในรัศมีแห่งความว่างเปล่า มันสั่งให้เราหนี หนีจากกันและกัน เขาเข้าใจแล้วว่าสันดาปที่แผ่พล่านอยู่ในอกนี้คือสิ่งใด
บนยอดไม้สูงต้นนั้น บาเบลจึงเผยอริมฝีปากก่อนจะเค้นเอาความรวดร้าวที่ท่วมท้นอยู่ในกายออกมาเป็นสัญญาณแห่งการมีอยู่อันกึกก้องครั้งสุดท้าย
ทว่ามันกลับเงียบเชียบราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
***
วิ่งไปทางซ้าย
“ไม่”
บอกให้วิ่ง วิ่งสิ วิ่งเร็วเข้า วิ่งไปทางซ้าย
“หนวกหูชะมัด พูดอะไรเยอะแยะล่ะเนี่ย”
วิ่ง วิ่ง วิ่ง
“โอ๊ย”
ฝ่ามือซีดขาวของวานิทัสปัดป่ายอยู่กลางอากาศคล้ายไล่แมลงหวี่แมลงวัน คิ้วนิ่วลงเคร่งเครียดต่อเสียงที่สะท้อนไปมาระหว่างหูซ้ายและหูขวา พวกนี้ไม่เคยหยุดส่งเสียง เป็นเสียงหึ่ง ๆ น่ารำคาญที่ไม่อาจขจัดออกไปได้ไม่ว่าด้วยทางใด แดดยามบ่ายสาดกระทบทัศนียภาพเปลือยเปล่าแห่งนี้ให้ดูมีชีวิตชีวา ทว่าไอร้อนของฤดูพาลให้เขาย่ำเท้าไปหาร่มเงาใกล้เคียง–ไม่ไกลมากนัก วานิทัสหรี่ตามองเงาไม้สูงต้นหนึ่งที่เติบโตสง่าอย่างน่าแปลกตาอยู่กลางทุ่ง จินตนาการถึงไอเย็นใต้กิ่งก้านบริเวณนั้นทำให้เขากระฉับกระเฉงขึ้นมาทันควัน มากเสียจนเสียงแมลงหวี่แมลงวันเบาหายไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบดี วานิทัสแหวกว่ายพงหญ้าสูงพวกนี้ไปจนถึงจุดหมาย
มันเป็นต้นไม้ที่ดูมีอายุราวศตวรรษ ลำต้นหนาใหญ่ ร่มเงาแผ่กว้างดังที่เขาวาดภาพไว้ในหัว–วานิทัสเอนกายอันอ่อนแรงลงพิงกับโคนต้น เส้นผมสีทรายสยายแนบไปด้านหลัง สายลมโชยผ่านหอบหิ้วเอากลิ่นอายธรรมชาติมาพร้อมกับมัน เปลือกตาวานิทัสเคลื่อนลงมาหลับพริ้ม แต่แล้วการนอนฝันกลางวันก็ถูกรบกวนด้วยเสียงแมลงในหูเสียจนได้ พวกมันเอาแต่ร่ำร้องไม่เป็นศัพท์ เสียงหวีดแหลมวิ่งวุ่นไปมาอยู่ในโสตประสาท ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้พักผ่อนดังใจหวัง จำต้องผละออกจากร่มเงาบริเวณนั้นเมื่อสังเกตว่าเสียงของพวกมันเบาลงตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นก็ตาม วานิทัสไม่ได้มืดบอดต่อความประหลาดนี้ถึงพรรค์นั้น เขายืนมองไม้สูงต้นนั้นที่ห่างออกไปไม่มาก คงเป็นเพราะถึงช่วงเวลาเหมาะสมของปี ดอกของมันผลิบานสะพรั่งอยู่บนยอดกิ่ง กลีบแดงฉานเบ่งบานรับแสงอย่างระรื่นใจ สีแดงนั้นช่างชัดเจนเสียเหลือเกิน ถึงขนาดที่มองเพียงแค่ครั้งหนึ่งความชัดเจนของมันก็จะยังเด่นประจักษ์อยู่ในห้วงความทรงจำอยู่พักใหญ่ วานิทัสกวาดสายตาไปทั่วอย่างไม่ใส่ใจนัก สังเกตจำนวนดอกบนก้าน จำนวนก้าน กระทั่งไล่ต่ำลงมาจนถึงรากไม้ ก่อนจะบังเอิญสบเข้ากับบางสิ่งที่ทำให้กลางวันอันเงียบสงบของเขาพังพินาศไปตลอดกาล
ส่วนล่างตรงรากไม้ที่ผุดโผล่อยู่ระหว่างเม็ดดินนั้น ร่องถลอกลึกแฝงตัวอยู่ระหว่างหญ้ารก เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ก็จะพอเห็นได้ว่า ใครบางคนนั้นคงเอาของมีคมบางอย่างมาสลักเป็นร่องรอยรีบร้อนไร้ระเบียบอยู่บนผิวไม้–วานิทัสเขยื้อนเข้าไปอีกเล็กน้อย สองมือแหวกสิ่งกีดขวางออก สิ่งที่สลักอยู่เป็นประโยคมิใช่คำ เขาเอียงคออ่านตามแนวอักษร
‘เอาฉันออกไปที’
ความฉงนระคนหวาดหวั่นกอปรขึ้นในอก วานิทัสถลาถอยหลังกระทั่งร่างล้มกระแทกพื้น ความรู้สึกเหนอะเหนียวประหลาดที่ฝ่ามือซึ่งยันผืนดินไว้อยู่นั้นกลับกลายเป็นความเย็นยะเยือกที่เลื้อยขึ้นมาตามแนวสันหลังวูบวาบ นิ้วเท้าที่ฝังอยู่ระหว่างคลีดินสัมผัสบางสิ่งที่ดูผิดที่ผิดทาง เขารู้สึกเหมือนลมหายใจติดอยู่ที่ลำคอ อากาศไม่ไหลเหวียน วานิทัสค่อย ๆ หงายมือที่เริ่มสั่นระรัวโดยไร้เหตุผลขึ้นมามอง–กลิ่นคาวเค็มรุนแรงฉุนขึ้นโพรงจมูก และแดง แดงไปหมดเลย แดงฉาน แดง เขาเงยมองมันอีกครั้ง
อา แดงเหมือนดอกพวกนั้นเลย
วิ่ง
.
.
เนื้อหา : after summer
พิสูจน์อักษร: ศิริกัลยา และ ณิชาภัทร สมบูรณ์วรรณะ
ภาพ: อนันตญา เรืองเดช